มกราคม 9, 2021 | 2,511 views

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๔

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๔ มาช้าดีกว่าไม่มาครับ

ที่มาช้าเพราะภารกิจครับ ช่วงก่อนปีใหม่ได้รับงานทำเว็บไซต์ให้หน่วยงานหนึ่ง แบบเร่งรีบ และขอด่วนๆ เลยโหมงานก่อน รวมทั้งอัพเดทเว็บไซต์ที่อยู่ในความดูแลอีกหลายเว็บ จนลืมมาอัพบล็อกนี้ไปเลย ก่อนสิ้นปีลูกหลานทางเมืองกรุงเทพฯ กลับมาเยี่ยมยามบ้าน ก็เลยฉลองกันเล็กน้อยด้วยความหนาวเหน็บอุณหภูมิ 10 กว่าองศา ก็ขออนุญาตมาสวัสดีปีใหม่ในช่วงนี้ ผมไม่มีพรใดๆ มอบให้กับแฟนานุแฟนครับ เลยขอเอาพรปีใหม่จาก ท่านชยสาโร มามอบแด่ทุกท่าน

หลังจากเฉลิมฉลองปีใหม่ลูกหลานเดินทางกลับกันหมดแล้ว ก็ได้รับงานอีกชิ้นหนึ่งทำเว็บไซต์ให้กับโรงเรียนอีกแห่ง งานไม่เร่งแต่ผมไม่อยากทิ้งไว้นานเพราะไฟจะมอดก่อน ก็เลยทำต่อเนื่อง 3 วันสำเร็จเสร็จสิ้นส่งงานไปเมื่อวาน วันนี้ก็เลยมาอัพเดทบล็อกสักเล็กน้อย

โควิด-19 กลับมาอีกแล้ว

ปี 2563 ทั่วทั้งโลกโดนถล่มด้วยไวรัสร้ายที่ชื่อ “โคโรนาไวรัส” ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “โควิด-19” ประเทศไทยเราก็ไม่มีข้อยกเว้น ถึงขั้นสั่งปิดประเทศ ปิดเมือง ห้ามการเดินทางกันเลยทีเดียว ลูกชายผมที่ทำงานอยู่กับสายการบินเอมิเรตส์ ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านนานกว่า 1 ปีแล้ว จะบอกว่าไม่ได้กลับมาเมืองไทยก็ไม่ใช่เสียทีเดียว บินมาทำงานหลายครั้งเหมือนกัน แต่ก็ถูกกักตัวให้อยู่แต่ในโรงแรมที่พักที่สนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น ไม่ได้ออกมาที่บ้านเลย ได้แต่ใช้วีดิโอคอลผ่านโทรศัพท์คุยกันเท่านั้น

ลูกชายส่งมาให้ดูว่า “คิดถึงครอบครัว สวัสดีปีใหม่ครับ”

สงสารลูก สงสารครอบครัวที่ไม่ได้พบกันนานกว่า 1 ปีที่ไม่ได้กอด สัมผัสอบอุ่นกันเหมือนเคย รวมทั้งโปรแกรมที่จะพาพ่อ-แม่ไปเที่ยวต่างประเทศอีกรอบ ก็เป็นอันพับไปโดยปริยาย (เสียดายมาก) ไม่ใช่เฉพาะแต่ครอบครัวผมดอก เป็นกันทั้งโลกทั้งความห่างไกล และประสบปัญหาการทำมาหากิน ตกงาน ไม่มีงานทำ หรือมีงานทำแต่เงินค่าจ้างลดลงครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะธุรกิจบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งงานในโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ไกด์นำเที่ยว บริการรับ-ส่งการเดินทางทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ อย่างลูกชายผมก็ถูกลดเงินเดือนลง 25 เปอร์เซนต์ ช่วงเดือนเมษายน – ตุลาคม 2563 นอกจากนั้นเมื่อสายการบินมีเที่ยวบินน้อยลง พนักงานไม่ได้ทำงานรายได้จากเบี้ยเลี้ยงการเดินทางก็หายไปด้วย (อาชีพในสายการบินนี้ รายได้ของเบี้ยเลี้ยงมากกว่าเงินเดือนประจำครับ) อ่านเพิ่มเติมที่บล็อกของเขาได้ครับ P’Por Cabin Crew

มาถึงท้ายปี พ.ศ. 2563 ข้ามมาปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยเราก็โดนถล่มด้วยการระบาดซ้ำรอบสอง ของ “โควิด-19” เริ่มจากพวกลักลอบเข้าเมืองทางท่าขี้เหล็ก แม่สาย จังหวัดเชียงราย ตอนแรกก็ทำท่าว่าจะเอาอยู่ ควบคุมได้ แต่เพียงอีกไม่นานนัก ก็เกิดการแพร่เชื้อแบบไฟลามทุ่งจาก ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร ลามไปนับสิบจังหวัดทั้งกลาง เหนือ ใต้ อีสาน เพราะตลาดคือแหล่งที่คนไปซื้อหาอาหาร ไม่เฉพาะคนใกล้ๆ แถวนั้นแต่รวมถึงพ่อค้าคนกลางที่ไปซื้อแล้วนำไปจำหน่ายทั่วประเทศ แล้วมันก็ลามไปสู่แหล่งอโคจร (ที่ไม่ควรไป ไม่ควรมี)“บ่อนการพนัน” ซึ่งเป็นสถานที่ปิดอยู่กันแออัด (โกดังอะไรว๊า ติดวอลเปเปอร์อย่างสวย ติดแอร์เย็นฉ่ำ) แล้วก็ตะโกนเชียร์ จนน้ำลายกระเด็นกระดอนใส่กัน เชื้อโควิดมันก็ชอบเพราะไม่มีใครระวังตัว ไม่สวมหน้ากากอนามัยกันสักคน แล้วก็ลามจากโกดังยันไปถึงพวกสนามชนไก่ พวกไปเล่นไพ่ ไฮโล กันกลางทุ่งนา น่ากลัวจริงๆ ครับพี่น้อง

ถ้าพวกเรายังทำตัวสบายๆ ชิวๆ กันแบบนี้ก็คงจะลำบากกันไปอีกนาน ต้องช่วยกันระมัดระวังตัวไม่ไปอยู่ในที่เสี่ยง ที่ผู้คนพลุกพล่าน แออัดกัน ต้องกลับมา “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” กันอีกรอบ แน่นอนว่ามันมีผลกระทบกับการทำมาหากิน การประกอบอาชีพ แม้แต่การศึกษาของลูกหลานที่มีการสั่งปิดโรงเรียน สถานศึกษา ให้อยู่บ้านเพื่อเรียนออนไลน์กันอีกรอบ จะได้ผลไหม? คงตอบได้ว่า “ถ้าใส่ใจ ก็พอได้อยู่” ปัญหาเดิมๆ ก็กลับมาอีกรอบทั้งเรื่องความพร้อมของอุปกรณ์การสื่อสาร ความพร้อมของครูผู้สอน และความพร้อมทางฝั่งผู้เรียน ผู้ปกครองที่จะมีโอกาสมาช่วยลูกหลาน (หรือมีความสามารถพอที่จะสอนลูกหลานไหม นี่แหละคือปัญหาใหญ่)

ต้องบอกว่า สถานการณ์การระบาดครั้งนี้หนักหนาเอาการ แม้ว่าประเทศไทยเฮาเคยปิดเมือง ปิดประเทศไปแล้วครั้งหนึ่งในช่วงต้นปี 2563 เรามีบทเรียนในการป้องกัน การต่อสู้กับโรคร้ายนี้มาแล้ว แต่ก็ยังมาเกิดปัญหาซ้ำเติมอีกจาก “ความไม่รับผิดชอบและตระหนักถึงภัยของคนบางคน ความโลภ จนเกิดการทำผิดกฎหมายขึ้น และนำไปสู่การกระจายแพร่ระบาดโรคอย่างรวดเร็ว” ทั้งพวกที่คอยช่วยเหลือพาคนข้ามแดนผิดกฎหมายที่เห็นแก่เงิน (ลักลอบนำพาแรงงานเถื่อน) พวกที่สนับสนุนให้มีการตั้งบ่อนการพนัน ซึ่งควรจะค้นหานำเอาคนเหล่านี้มาลงโทษให้หมดสิ้น

คนบางกลุ่มตกงานจากการระบาดโควิด-19 ในครั้งที่แล้ว เพิ่งจะได้กลับมาทำงานไม่นานก็ต้องมาตกงานซ้ำอีก เป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่เศร้าสร้อยที่สุดปีหนึ่ง กินบ่แซบนอนบ่หลับ การระบาดโดวิด-19 ว่าน่ากลัวแล้ว แต่อุบัติเหตุจากช่วงเทศกาลปีใหม่กลับน่ากลัวกว่า เพราะตายเป็นเบือเลยทีเดียว เรื่องนี้แก้ยากหากคนไทยเรายังขาดวินัยจราจร ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กันอยู่

คนไทยยังชอบคิดแบบว่า “จะมีบ้าน มีรถ ต้องหลังใหญ่ๆ คันใหญ่ๆ ไว้ก่อน” อันนี้คือปัญหา คำพระท่านว่า “ไม่ประมาณตน” สร้างบ้านหลังใหญ่ก่อหนี้มากมายเผื่อไว้ให้ลูกหลานจะได้มาอยู่โฮมกัน แต่สุดท้ายก็อยู่กันแค่ 2-3 คน เพราะลูกหลานร่ำเรียนจบชั้นต้นที่บ้านเฮา แล้วก็ขอไปเรียนต่ออยู่ที่อื่น (มันจั่งได้ขอเงินเป็นรายเดือน มีอิสระอยู่หอพัก เพิ่นหว่า) เฮียนจบแล้วก็ไปอยู่ที่อิื่น ปล่อยให้ 2 เฒ่าอยู่กันอย่างเดียวดาย นี่บ่แม่นสอยเด้อ มันคือความจริง

จะซื้อรถ เขามีรถอีโค่คาร์ (eco car – ขนาดประหยัด สมฐานะ) ก็ไม่ซื้อเพราะคิดมาก คิดเผื่อไว้ว่า ต้องซื้อคันใหญ่ๆ นั่งกันได้หลายคน ต้องรถปิ๊กอัพยกสูงๆ หนีน้ำท่วม จะได้บรรทุกข้าวของได้ เครื่องต้องแรงเพราะจะบรรทุกหนัก แต่ความเป็นจริง! บ่เคยนั่งเกิน 2 คน บ่เคยใส่กระสอบถ่าน (มันสิเปื้อน มันสิดำ) บ่เคยไปลุยน้ำทางใด๋ ย้านมันเปื้อนขี้คร้านล้าง สุดท้าย รถแฮงๆ ก็เลยพาลงไปกินกล้า (หญ้า) ข้างทาง มักแต่ความเท่ห์ อยากให้เขาเหลียวมอง แต่งใส่ล้อแม็กยางใหญ่ๆ ใส่ท่อดังๆ ควันดำๆ แล้วยังมีหน้ามาถามว่า “อ้าย รถผมมันคือกินน้ำมันแท้หือ?” โอ๊ย! น้อ “มึงกะไปถอดของแต่งบ้าๆ บอๆ นั่นออก หรือขายไปซื้อรถอีโค่คาร์เลยตี้ล่ะ อย่าสิซื้อรถอีโก้คาร์ (ego car) มาโชว์ ท่อนั้นล่ะ จบ!”

ส่งท้าย “ฮักลูกหลานให้ดูแล อย่าสิไปออกรถมอเตอร์ไซค์ให้มันมาแว๊นซ์กวนบ้านกวนเมือง สั่งสอนให้ฮู้จักทำมาหากิน อยู่บ้านเมาะ แมะๆ อย่าไปแรดให้ติดโควิด ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤต ม้มปีนี้ไปแบบหม่อนๆ สู่คนเด้อ” สวัสดีครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *